วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561



สาธิตการเรียน เพียรแก้ปัญหา  ก้าวหน้าปฏิบัติ

การพัฒนาการศึกษาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติปีพุทธศักราช 2542 ได้กำหนดเนื้อหาสาระ เพื่อปฏิรูปการศึกษาของปวงชาวไทย โดยได้จัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยมีการเน้นฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาซึ่งกระบวนการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีความแตกต่างกันออกไป
 ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ. 2561 ได้มีการแข่งขันทักษะงานมหกรรมการศึกษาเอกชนประจำปี 2561 ณ สหกรณ์สุราษฎร์ธานีจำกัด โดยภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการที่มีความสอดคล้องกับวิธีการสอนในหลากหลายรูปแบบซึ่งการสอนแต่ละวิธีต่างก็มีความน่าสนใจเเละเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เข้าร่วมชมนิทรรศการด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้เลือกศึกษาวิธีการสอนที่ได้เล็งเห็นแล้วว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนต่อไปในอนาคตมา 3 วิธี ได้แก่ การสอนโดยการปฏิบัติ การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และ การสอนโดยการสาธิต
วิธีการสอนทั้ง3วิธีนี้ที่ได้กล่าวมาข้างต้นมีส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนของผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



1. วิธีการสอนโดยการปฏิบัติ (practice)  ผู้ศึกษาได้เลือกศึกษาโครงการพัฒนาสมองด้วยสองมือ จากปลายประสาทปลายนิ้ว นำสู่การสร้างรอยหยักในสมอง กับ SPORT STACKING COURSE ของโรงเรียนเทพมิตรศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการนี้จะฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยตรงโดยผ่านการลงมือปฏิบัติจริงด้วยกีฬาสแต็ค (sport stacking ) เป็นกีฬาเรียงแก้วพลาสติกซึ่งแก้วที่เรียนจะมีทั้งหมด 12 ใบ ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับกีฬาชนิดนี้โดยเฉพาะกีฬาสแต็คจะมีวิธีการเล่นทั้งแบบ Stack up คือ การเรียงขึ้น และการ Stack Down คือ การเรียงลง โดยผู้ที่เล่นกีฬาสแต็คจะมีชื่อเรียกกันว่า Stacker เวลาทำการแข่งขันจะใช้การตัดสินโดยดูจากกระบวนการเล่นที่ถูกต้อง และดูจากการทำเวลาในการเล่นที่เร็วที่สุด ถ้าหากผู้เล่นคนใดทำได้คนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ ซึ่งโครงการนี้จะเปิดสอนในระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ รางวัลเหรียญทอง ประเภท Double Cycle รุ่นอายุ 12 ปี (สถิติเป็นอะนดับที่ 4 ของโลก) กีฬาสแต็คจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและประสาทสัมผัสเช่น การฝึกปฏิภาณไหวพริบและการป้องกันโรคอัลไซเมอร์เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ เช่นฝึกให้ผู้เรียนมีความใส่ใจในสิ่งที่ทำและมีสมาธิมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการคิดวางแผนเพื่อพัฒนาตนเองเป็นต้น
2. วิธีการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based instruction) ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ สื่อGIGOซึ่งเป็นอุปกรณ์ตัวต่อเพื่อการศึกษาที่นำมาบูรณาการกับการสอนแบบสะเต็มศึกษา ดังต่อไปนี้ สื่อGIGOเป็นอุปกรณ์ที่สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็ม โดยให้นักเรียนคิดหาวิธีแก้ปัญหา ออกแบบ นวัตกรรมที่ต้องการสร้างโดยเริ่มคิดด้วยวิทยาศาสตร์นำความรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเครื่องกลและพลังงานมาใช้งานและนำเอาคณิตศาสตร์มาอธิบายความสัมพันธ์ของอุปกรณ์ต่างๆ นำเทคโนโลยีต่างๆมาช่วยในการออกแบบแล้วสร้างเป็นชิ้นงานจริง หรือต้นแบบด้วยกระบวนการทางวิศวกรรม โดยจะช่วยให้ผู้เรียนมีความคิดวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหาได้ดี และยังช่วยส่งเสริมจินตนาการให้แก่ผู้เรียนได้อย่างดีเยี่ยม
3. วิธีการสอนโดยการสาธิต (Domenstration) ผู้ศึกษาได้ศึกษาการทำตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ โดยการทำปูนปลาสเตอร์นั้นครูผู้สอนจะมีการสาธิตวิธีการทำให้ผู้เรียนดูอย่างละเอียดก่อนตั้งแต่กรรมวิธีการเตรียมปูนปลาสเตอร์ โดยนำปูนปลาสเตอร์ไปผสมน้ำแล้วนำไปใส่ในพิมพ์ที่ทำมาจากยางพาราเมื่อได้เป็นรูปทรงต่างๆแล้วจึงนำมาระบายสีให้มีสีสันสวยงามหลังจากที่ผู้สอนทำการสาธิตเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทำตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ด้วยตนเอง การสอนโดยการสาธิตนี้จะมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน และยังฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผลอีกด้วย

สรุป
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่านิทรรศการ 100 ปี การศึกษาเอกชน มุ่งมั่นเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย เป็นนิทรรศการที่มีประโยชน์แก่ผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงหลักการและวิธีการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน สามารถฝึกทักษะการแก้ปัญหา และให้ผู้เรียน ลงมือปฏิบัติได้ และที่สำคัญคือ สามารถเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนำวิธีการสอนนี้ไปประยุกต์และปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำความรู้และทักษะไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561




อาหารรสจัดให้โทษ

     

                เห็นหน้ากล่องอาหารเขียนว่า “รสจัดจ้าน” เป็นคำเชิญชวนให้ซื้อ แสดงว่ามีคนชอบรสจัดจ้านกันอยู่มาก เมื่อซื้อก๋วยเตี๋ยว มักจะได้น้ำตาลและพริกป่นแถม แสดงว่าคนส่วนมากจะต้องเติมน้ำปลา น้ำตาล พริก เครื่องปรุงประจำโต๊ะในร้านอาหาร จะมีเครื่องปรุงรส ทำให้รสเข้มขึ้น ล้วนเป็นสิ่งอันตราย กินมากบ่อยๆ ชวนให้โรคต่างๆมาเยือน   อันตรายแรกคือน้ำปลาและเกลือ กินมากทำให้ความดันเพิ่มสูง ถ้าเป็นโรคไขมันในเลือดสูง เป็นโรคหัวใจ อาจเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ไปหาหมอไม่ทัน ไม่ตายก็เป็นอัมพาต เกลือเป็นอันตรายต่อคนเป็นโรคไต ถ้าเป็นมากถึงต้องล้างไต จะต้องล้างทุกสองสามวันตลอดชีวิต เสียเงิน เสียเวลา ยุ่งยากต่อตัวเองและคนใกล้เคียง         น้ำตาลที่ชอบกันทั่วไป มีอันตราย เริ่มจากทำให้ฟันผุ ปวดฟัน กินอาหารไม่อร่อย ต้องทรมานอย่างยิ่ง การรักษาจะต้องเจ็บ เสียเวลาและเสียเงินมาก ต่อจากฟันผุ จะเป็นโรคอ้วน ต่อไปจะเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ซึ่งจะมีอาการโรคไตตามมา อาหารสำเร็จรูปส่วนมากหวานเกินพอดี คนขายบอกว่าทำตามความต้องการของลูกค้า แม้แต่ของที่แต่เดิมไม่ใส่น้ำตาล ปัจจุบันกลับเติมน้ำตาลกันจนเคยชิน   สิ่งต่อไปที่ทำให้รสจัดจ้านคือพริก กับข้าวสำเร็จรูปประเภทแกงและผัดเผ็ด จะเผ็ดมากจนแสบปากแสบลิ้น ความเผ็ดขนาดนี้จะทำลายเยื่อหุ้มทางเดินอาหาร ทำให้เกิดโรคกระเพาะ โรคลำไส้ ซึ่งมีคนเป็นกันมาก ความจริงพริกมีประโยชน์ ทำให้อาหารหอมอร่อย ความเผ็ดเล็กน้อยช่วยชูรส พริกสดมีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินอื่นๆ พริกช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย กินอาหารเผ็ดเล็กน้อย ป้องกันโรคอ้วน แต่ถ้าเผ็ดมากกลับเป็นอันตราย                              ความอร่อยหรือไม่อร่อยเป็นความเคยชิน คนไทยเห็นว่าแกงเขียวหวานไก่เป็นอาหารอร่อย ต้องกินกับปลาเค็ม บ้านไหนทอดปลาเค็ม เพื่อนบ้านได้กลิ่นพาให้หิวข้าว ฝรั่งได้กลิ่นปลาเค็มทอด วิ่งออกมาถามว่าหนูตายที่ไหน ฝรั่งชอบกลิ่นเนยพาร์มีซาน คนไทยว่าเหม็นเหลือทน การได้กินบ่อยๆครั้งจนเคยชิน เมื่อได้กลิ่นจะอยากกิน กินแล้วอร่อย คนชอบรสจัดเป็นเพราะเคยชินกับรสจัด เมื่อไรกินอาหารรสอ่อนจะบอกว่าไม่อร่อย การปรับนิสัยให้กินอาหารรสอ่อน จึงต้องกินรสอ่อนบ่อยๆ นานเข้าจะชินและเมื่อกินอาหารรสจัดจ้านจะไม่ชอบ        ถ้ารู้ตัวว่าชอบอาหารรสจัดจ้าน และต้องการรักษาสุขภาพ จะต้องฝึกลดความจัดจ้านลง เริ่มจากไม่เติมรสเมื่อกินอาหารนอกบ้าน เขาทำขายอยู่ได้ แปลว่าของเขาอร่อย ไม่ต้องเติมน้ำปลา น้ำตาล พริกป่นให้รสจัดมากขึ้นไปอีก อาหารตามธรรมชาติอร่อยอยู่แล้ว การปรุงกลิ่นรสในสมัยก่อน เป็นการบดบังความไม่สดของอาหาร เมื่อปรุงบ่อยๆกลายเป็นความเคยชิน เป็นวัฒนธรรมการกินอาหารของคนในชาติ สิ่งใดที่คนสมัยก่อนไม่ทำ เกิดนิยมกันในภายหลัง บางอย่างไม่ดีต่อสุขภาพ ถึงเวลาจะต้องแก้ไข  เมื่อเลี้ยงลูกและเด็กเล็ก หัดให้กินอาหารรสอ่อน ให้กินข้าวให้อิ่มไว้ เด็กจะไม่อยากกินขนมและของหวาน เด็กที่ดื่มนมจืดเป็นประจำจะไม่ชอบนมหวาน บางโรงเรียนผสมนมหวานสำหรับเด็กเล็ก เด็กไม่ดื่มเพราะไม่ชอบ ครูบังคับให้ดื่ม เพราะครูเข้าใจว่านมมีประโยชน์ เด็กทุกคนควรได้ดื่ม บ้านที่เลี้ยงเด็กด้วยนมจืดต้องมีปัญหากับครู     เคยถามคนต่างชาติว่าอาหารไทยมีลักษณะอย่างไร จะมีคำตอบสองแบบ คือหวาน กับเผ็ด ทำไมอาหารไทยจึงหวาน เพราะคนรุ่นใหม่กินหวานเกินไป เรื่องรสจัดเป็นการปรับแต่งของครอบครัวใหญ่ เงินค่ากับข้าวมีน้อย ต้องเลี้ยงคนหลายคน ทำให้รสจัดเข้าไว้ จะได้กินข้าวมากๆ กินกับแต่น้อย บางคนยิ่งเผ็ดยิ่งอร่อย กินไปเหงื่อไหลไป ไม่ต้องคำนึงถึงในท้องว่าจะระคายเคือง ไม่นานต้องเป็นโรคกระเพาะ คราวนี้จืดเท่าไรก็ทนได้  ไปกินอาหารตามร้าน ยังไม่ทันได้อาหาร น้ำจิ้มสารพัดมาถึงก่อน แต่ละคนได้น้ำจิ้มสามสี่ถ้วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนผสมของน้ำตาล เกลือและพริก ทำให้อาหารรสจัด บางคนตักน้ำจิ้มกินเล่น น่ากลัวไส้พัง ถ้าตัดน้ำจิ้มออกบ้าง อาหารอาจจะลดราคาลง ร้านอาหารเทน้ำจิ้มทิ้งร้านละมากๆทุกวัน เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ประหยัด และส่งเสริมให้คนกินอาหารที่เป็นอันตราย  การเปลี่ยนนิสัยการกินเป็นเรื่องยาก ต้องมีความต้องการที่จะรักษาสุขภาพ คนส่วนมากคิดว่าขออร่อยไว้ก่อน เรื่องอันตรายยังมองไม่เห็น กว่าจะเกิดโรคอาจจะตายไปก่อนด้วยเหตุอื่น แต่ในเมื่อคนอายุยืนขึ้น การดูแลสุขภาพไม่ใช่เพื่อไม่ให้เกิดโรคในอนาคต แต่เป็นการรักษาความสบายของร่างกาย เมื่อร่างกายสบายดี อารมณ์จะดีได้ง่าย ชีวิตน่าสนุกมากขึ้น ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องหาหมอบ่อยๆ ใช้เวลาทำสิ่งที่สนุกได้เพิ่มขึ้น     วิธีเลิกกินอาหารรสจัดง่ายๆ คือเริ่มจากไม่เติมซอส น้ำปลา น้ำตาล พริก อร่อยรสธรรมชาติของอาหาร ลองกินอาหารโดยไม่จิ้มน้ำจิ้ม เพิ่มผักสดเมื่อกินก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย น้ำยา เมื่อกินผักจิ้มน้ำพริก ใช้น้ำพริกน้อยลง เพิ่มผักให้มากขึ้น เมื่อมีผักดอง ตักผักเพิ่มขึ้น ไม่กินน้ำที่ดอง เพียงลดลงทีละน้อย อาหารยังอร่อยอยู่ นานๆเข้าจะอร่อยโดยไม่ต้องเติมรส   ร้านอาหารส่วนมากจะปรุงรสกลางๆ ไม่จัดจ้าน แต่จะมีเครื่องปรุงรสให้เติมเอง ฝึกไม่เติมเครื่องปรุง ไม่นานจะไม่ต้องการเครื่องปรุง ตัดสิ่งเกะกะบนโต๊ะอาหารได้มาก หัดเด็กในบ้านให้กินอาหารรสอ่อน ใส่ผักในเครื่องปรุงอาหารเด็ก ต้มยำไม่ต้องเผ็ด ใช้รสเปรี้ยวชูรส จะไม่ต้องใช้น้ำตาล ใช้ผลไม้รสเปรี้ยวพวกมะนาว มะขาม มะม่วง แทนน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวเทียม กรดจากผลไม้เป็นกรดอ่อน ไม่เป็นอันตราย กรดเข้มข้นในน้ำส้มและน้ำมะนาวเทียม ทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้    กินอาหารรสอ่อน ใช้หอมหัวใหญ่ หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย ปรุงกลิ่นรส ทำให้น้ำแกงอร่อยโดยไม่ต้องใช้ผงชูรส ใช้พริกพอให้หอมอร่อย ไม่ใช้มากจนร้อนปากร้อนท้อง หลีกเลี่ยงร้านอาหารรสจัดจ้าน เลือกของอร่อยตามธรรมชาติ อร่อยและสบาย


วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

       อาหารไทย
             อาหารไทยมีชื่อเสียงขจรขจายไกลไปทั่วโลก  ด้วยสีสันสวยงามตามธรรมชาติ  รสชาติที่กลมกล่อมมีความหวาน เปรี้ยว  เค็มได้ที่  และเผ็ด พอประมาณ อาหารไทยมากมายหลายชนิด มีการผสมผสานเครื่องปรุง และเครื่องเทศต่างๆ ของเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน  ส่วนในการเพิ่มรสชาติของอาหาร  มีการใช้น้ำผลไม้ เช่น น้ำมะขาม  น้ามะนาว  ส่วนน้ำปลา   น้ำตาลปีบ  กะปิ  น้ำมันหอยช่วยทำให้อาหารมีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้นส่วนผสมของกะทิที่ปรุงร่วมกับเครื่องแกงต่างๆ ทำให้อาหารไทยมีความโดดเด่นในรสชาติ  แตกต่างจากอาหารชาติอื่นๆ และนอกจากนั้น วัฒนธรรมการตกแต่งอาหาร  ให้วิจิตรสวยงาม    ด้วยศิลปะการแกะสลักผักและผลไม้แสดงออกถึงความประณีตในการรับประทานอาหารของชนชาติไทย                                                                                                                    เครื่องเทศ ที่ใช้ในการประกอบอาหารไทยเป็นสมุนไพรล้วนๆ ได้แก่   ขิงข่า ตะไคร้  มะกรูด  กระชาย หอม    กระเทียม ฯ อาหารไทยจึงเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นอาหาร   “เพื่อสุขภาพ”  อย่างแท้จริง


อาหารภาคเหนือ
                     ในอดีตบริเวณภาคเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาก่อน ช่วงที่อาณาจักร   แห่งนี้เรืองอำนาจ ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมีผู้คนจากดินแดนต่าง ๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้ จึงได้รับวัฒนธรรมหลากหลายจากชนชาติต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตประจำวันรวมทั้งอาหารการกินด้วย   อาหารของภาคเหนือ ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่าง ๆ เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีแหนม ไส้อั่ว แคบหมู  และผักต่าง ๆ สภาพอากาศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารพื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่น ๆ   นั่นคือ การที่อากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมันมาก เช่น น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล  ไส้อั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งการที่อาศัยอยู่ในหุบเขาและบนที่สูงอยู่ใกล้กับป่า จึงนิยมนำ  พืชพันธุ์ในป่ามาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกกล้วย ผักหวาน ทำให้เกิดอาหารพื้นบ้าน ชื่อต่าง ๆ เช่น แกงแค แกงหยวกกล้วย แกงบอน





อาหารภาคกลาง
      เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำลำคลอง หนองบึงมากมาย     จึงเป็นแหล่งอาหารทั้งพืชผักและสัตว์น้ำนานาชนิด พื้นที่บางส่วนติดชายฝั่งทะเลทำให้วัตถุดิบ    ในการประกอบอาหารหลากหลายอุดมสมบูรณ์     

           อาหารภาคกลางมีความหลากหลายทั้งในการปรุง รสชาติ และการตกแต่งให้น่ารับประทาน  สืบเนื่องจากการรับและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมจากภายนอก เช่น จีน อินเดีย ชาวตะวันตก อีกทั้งอาหารภาคกลาง   บางส่วนได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของราชสำนักอีกด้วย  สำรับอาหารภาคกลางมักมีน้ำพริกและผักจิ้ม   โดยรับประทานข้าวสวยเป็นหลัก ลักษณะอาหาร  ที่รับประทานมักผสมผสานระหว่างภาคต่าง ๆ เช่น แกงไตปลา ปลาร้า    น้ำพริกอ่อง
       กับข้าวพื้นบ้านของคนภาคกลางซึ่งเป็นแหล่งรวมสำรับอาหารอันหลากหลายประกอบขึ้น ด้วยวิธีการปรุงหลายแบบ เช่น แกง ต้ม ผัด ทอด และมักใช้กะทิใส่อาหารประเภทแกงเผ็ดทุกชนิด เช่น แกงเขียวหวาน นอกจากนี้มีแกงส้ม แกงเลียง แกงป่า แกงจืด
         อาหารพื้นบ้านภาคกลางที่มีชื่อเสียงได้รับความนิยมไปทั่วโลกคือ ผัดไทย ต้มยำกุ้ง   ที่ประกอบไปด้วยพืชสมุนไพรหลายชนิด และประกอบขึ้นจากพืชผักที่หาได้ในท้องถิ่นทั่วไป   ล้วนแต่มีสรรพคุณเป็นยา มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น
                                                                  อาหารภาคอีสาน
         สภาพภูมิศาสตร์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานมีผลต่ออาหารการกินของคนท้องถิ่น อย่างมาก เนื่องจากพื้นที่บางแห่งแห้งแล้ง วัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารซึ่งหาได้ตามธรรมชาติ   ส่วนใหญ่ ได้แก่ ปลา แมลงบางชนิด พืชผักต่าง ๆ การนำวิธีการถนอมอาหารมาใช้เพื่อรักษาอาหารไว้กินนาน   จึงเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีพของคนอีสาน 

ชาวอีสานจะมีข้าวเหนียวนึ่งเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับภาคเหนือ เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหาร  ได้แก่   สัตว์ที่หามาได้ เช่น กบ เขียด แย้ แมลงต่าง ๆ ที่มาของรสชาติอาหารอีสาน เช่น รสเค็มได้จากปลาร้า รสเผ็ด  ได้จากพริกสดและพริกแห้ง รสเปรี้ยวได้จากมะกอก ส้มมะขาม และมดแดง   ในอดีตคนอีสานนิยมหมัก  ปลาร้าไว้กินเองเพราะมีปลาอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับเป็นแหล่ง  เกลือสินเธาว์ ทำให้การทำปลาร้าเป็นที่แพร่หลายมาก จากปลาร้าพื้นบ้านอีสานได้มีการพัฒนาทั้งวิธีการทำและรสชาติ จนกลายเป็นตำรับปลาร้าที่ส่งขายต่างประเทศในปัจจุบัน
อาหารพื้นบ้านอีสานที่มีชื่อเสียง ได้แก่  ตำมะละกอ ตำแตงร้าน ตำถั่วฝักยาว ใส่มะกอกเพิ่มรสเปรี้ยว  ใส่ปลาร้าเพิ่มรสเค็ม เพิ่มรสเผ็ดด้วยพริก


                                                            อาหารภาคใต้
     อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้  เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรม   ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก


อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้  เช่น น้ำบูดู   ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซีย  อาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้าน   มีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้ม  จึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย   ความหลากหลายในสำรับอาหารปักษ์ใต้ได้รับอิทธิพลจากอินเดียใต้ ทำให้เกิดตำรับอาหารใหม่มากมาย ล้วนผ่านวิธีการดัดแปลง ปรับปรุงเป็นวัฒนธรรมอาหารการกินที่ถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน  ในปัจจุบัน ทำให้มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากภาคอื่นอย่างชัดเจนคือ รสชาติจัดและเน้นเครื่องเทศ และมีผักสารพัดชนิดที่เรียกว่า “ผักเหนาะ” ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านหาได้ในท้องถิ่น เช่น สะตอ ลูกเหนียง  ยอดกระถิน มากินร่วมด้วย เพื่อบรรเทารส  เผ็ดของอาหาร ทั้งมีสรรพคุณเป็นยาอีกด้วย
เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงเป็นอาหารส่วนมากนิยมสัตว์ทะเล เช่น ปลากระบอก ปลาทู ปูทะเล กุ้ง  หอย ซึ่งหาได้ในท้องถิ่น    อาหารพื้นบ้านของภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา นิยมใส่ขมิ้นปรุงอาหารเพื่อแก้รสคาว เครื่องจิ้มคือ  น้ำบูดู
อาหารพื้นบ้านภาคใต้ที่มีชื่อเสียง เช่น  ข้าวยำ  ปลาเค็ม กุ้งแห้ง บูดู เป็นต้น